จากข่าวที่ น.ส.วิลาวัณย์ พุ่มมาลา หรือ น้องลิ้นจี่ นักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ และเพิ่งเริ่มทำงานวันแรก โดนรถจักรยานยนต์ชนขณะกำลังข้ามทางม้าลาย บริเวณแยกกรมโยธาและผังเมือง ถ.พระราม 9 ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมานั้น ล่าสุด มีการเปิดเผยข่าวร้ายจากทางเพื่อนสนิท ทางเฟสบุ๊ก ‘ทรงภพ สรรเพชร’ ว่าน้องลิ้นจี่เสียชีวิตลงแล้ว
โดยทางเพื่อนสนิทระบุข้อความว่า
“ตื่นมาอยากให้มันเป็นแค่ฝัน อยากให้มันไม่ใช่เรื่องจริง อยากให้ทุกสิ่งที่เราจะทำด้วยกันมันสำเร็จก่อน แต่ถ้ามึงไม่ไหวก็ขอให้พักผ่อน นอนหลับให้สบาย ชาติหน้ายังไม่สายที่เราจะฝันร่วมกันอีก ที่เราสัญญากันไว้ไม่ต้องเป็นห่วงนะที่เราจะไปตัดชุดครุยด้วยกัน ถ่ายรูปกับเพื่อนด้วยกัน ที่ๆ เราอยากไปกัน ไม่ต้องห่วงเลย เราจะพาเธอไปทุกๆ ที่ ถึงตัวจะไม่ได้ไปแต่ในความทรงจำยังมีเธออยู่ตลอดไป เชื่อเเล้วว่ามีพบต้องมีจากตอนพรากมันมีน้ำตา รักเธอเสมอเพื่อนรัก” ทางครอบครัวและญาติของน้องลิ้นจี่ ได้นำร่างไปบำเพ็ญกุศล ณ บ้านวัดกาไสย์ ต.ทางพระ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง
เมื่อประมาณเที่ยงคืนที่ผ่านมา (ก.ค.) เกิดเหตุชายวัยรุ่นคือ นายบุษกร ไกรเพชร อายุ 26 ปี ชักปืนยิงอริขณะขี่รถจักรยานยนต์ไล่ตามกันมา บริเวณถนนราดยางสายสี่แยกจานเตย ไปบ้านสังข์ใหญ่ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ทำให้รถจักรยานยนต์ของอริที่ขี่ซ้อนท้ายมาสองคนเสียหลักชนต้นไม้และตกลงในคูน้ำ
โดยกระสุนถูกเข้าที่บริเวณศีรษะด้านหน้าข้างซ้ายของ นายรินทร์นพัฒน์ งามเสมอ อายุ 19 ปี ซึ่งเป็นคนขี่รถจักรยานยนต์ และขณะนี้อาการยังสาหัสอยู่ ส่วนเด็กวัยรุ่นอายุ 15 ปีนายวิชัย ปาสา มีบาดแผลหลายแห่ง รวมถึงไหปลาร้าหัก กระดูกเชิงกรานแตก ซี่โครงหักทิ่มปอด และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา
หลังก่อเหตุ มือยิงได้หลบหนีไปพร้อมกับแฟนสาว ตำรวจสืบสวนพบว่านายบุษกรเคยก่อคดีมาแล้วก่อนหน้านี้ ข้อหามียาบ้าไว้ในครอบครอง และเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา ได้ใช้อาวุธปืนยิงคู่อริในงานแสดงหมอลำที่บ้านเหม้า แต่กระสุนพลาดไปถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สุวรรณภูมิ ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และขณะนี้อยู่ระหว่างประกันตัวในชั้นศาล และมาก่อเหตุซ้ำ แถมยังกล้าโพสต์ท้าทายผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ‘โก๋บอย ลายน้อย’ ว่า ‘หิวมีดหิวปืน เจอได้ทุกม่อง [ทุกที]’
ด้านกลุ่มเพื่อนของผู้เสียชีวิตรวม 6 คนเล่าว่า พวกตนได้ขี่รถจักรยานยนต์ 3 คันไปดูหมอลำที่วัดบ้านสาหร่าย จากนั้นก็พากันออกมาจากงาน และมาพบนายบุษกรกับแฟนสาวที่ชื่อ ‘จ๋า’ ที่ปั๊มแห่งหนึ่งริมถนน โดยแฟนสาวของนายบุษกรเป็นเพื่อนเรียนด้วยกันที่สถาบันอาชีวศึกษาแห่งหนึ่งกับนายรินทร์นพัฒน์ผู้บาดเจ็บ
หลังจากคุยกันเสร็จแฟนสาวของนายบุษกรก็บอกว่าจะเอาเหล้าให้หนึ่งขวด ให้ตามไปเอา จึงได้ขี่รถจักรยานยนต์ตามกันไป เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ นายบุษกรก็ชักปืนและเอี้ยวตัวหันหลังมายิงกลุ่มพวกตน ทำให้กระสุนเจาะศีรษะของนายรินทร์นพัฒน์ ส่งผลให้รถเสียหลักไปชนต้นยูคาลิปตัสริมถนนจนตกลงไปในคูน้ำ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส หลังเกิดเหตุ นายบุษกรก็ขี่รถจักรยานยนต์ไม่ติดป้ายทะเบียนที่มีแฟนสาวซ้อนท้ายหนีไป โดยทางกลุ่มเพื่อนเล่าว่า นายบุษกรเคยทะเลาะกันทางเฟสบุ๊กกับเพื่อนในกลุ่มของนายรินทร์นพัฒน์มาก่อน
ศาลยกฟ้องคนเสื้อแดง คดีเผาศาลากลางมุกดาหาร
วานนี้ (5 ก.ค.) มีรายงานจากเพจกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง ชื่อ ยูดีดีนิวส์ – UDD news ว่า ศาลฎีกาจังหวัดมุกดาหาร ได้อ่านคำพิพากษา “ยกฟ้อง” จำเลยคดีเพลิงไหม้ศาลากลางจังหวัดมุกดาหารเมื่อปี 2553 ทั้ง 7 คน หลังจากต่อสู้คดีมา 9 ปี
เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นช่วงวันที่ 19 พ.ค. 2553 มีการเผายางหน้าศาลากลางจังหวัดมุกดาหาร โดยผู้ชุมนุมร้องขอพบผู้ว่าฯ เพื่อจะขอติดตั้งเวทีชุมนุมกดดันรัฐบาลให้ยุติสลายการชุมนุมในกรุงเทพฯ แต่ไม่สำเร็จ ส่งผลให้ผู้ชุมนุมไม่พอใจ มีการปีนรั้วเข้าไปในศาลากลางและลำเลียงยางเข้าไปวางตรงทางเข้า อีกทั้งมีผู้ชุมนุมบางส่วนกลิ้งยางที่ติดไฟเข้าไปใกล้อาคาร ทำให้เกิดไฟลุกไหม้และลามไปอย่างรวดเร็ว และตามมาด้วยการสลายการชุมนุมพร้อมด้วยดับไฟ
ทั้งนี้ ทางเพจอ้างว่ามีการทรมานผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมโดยการควบคุมตัวรวมกันไว้ในรถผู้ต้องขังของตำรวจ บริเวณกลางลานซีเมนต์หน้าอาคารศาลากลางหลังเก่าซึ่งถูกไฟไหม้ไปแล้ว เป็นเวลา 2 คืน โดยไม่มีการปฐมพยายาลผู้ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นก็ถูกนำไปขังที่เรือนจำมุกดาหารด้วยข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์และบุกรุกสถานที่ราชการ โดยในจำนวนคนที่ถูกทำร้ายร่างกายบาดเจ็บระหว่างสลายการชุมนุมและถูกจับกุมในช่วงสลายการชุมนุมทั้ง 16 คนนี้ ในที่สุดอัยการสั่งไม่ฟ้อง 1 คน และศาลพิพากษายกฟ้อง 10 คน
อย่างไรก็ ตามมีการจับกุมเพิ่มภายหลังทำให้จำเลยคดีนี้มี 29 คน รวมยกฟ้อง 16 คน ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 13 คนคน ละ 20 ปี ส่วนคดีเยาวชนนั้นขึ้นศาลเยาวชน พิพากษาให้มีความผิดฐานบุกรุกและให้คุมประพฤติ ในระหว่างที่คดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์ นายประคอง ทองน้อย 1 ใน 13 จำเลยได้เสียชีวิตลง
ในวันที่ 30 ก.ย. 2558 ศาลอุทธรณ์พิพากษาลดโทษเหลือ 1 ใน 4 โดยต่อมาวันที่ 25 ม.ค. 60 นายดวง คนยืน ก็ได้เสียชีวิตอีกหนึ่งด้วยโรคมะเร็งที่ถุงน้ำดีและตับระยะสุดท้าย ทางเพจระบุด้วยว่า การยกฟ้องครั้งนี้ พิสูจน์ความจริงว่า “คนเสื้อแดงไม่ได้เผาศาลากลางจังหวัด” – “นปช.ไม่ได้เผาเซ็นทรัลเวิลด์” แต่ยังมีคนบางกลุ่ม, สื่อบางค่าย ยังใช้วาทะกรรม “เผาบ้านเผาเมือง” เพื่อสร้างความเกลียดชังกันในสังคมไทยและหวังผลทางการเมือง